"โจ ไบเดน" เยือนเวียดนาม ลงนามข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์

เมื่อช่วงเย็นวานนี้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดนของสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อเริ่มภารกิจการเยือนและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

หลังจากที่เดินทางไปถึง ประธานาธิบดีไบเดนได้เข้าพบกับเหงียน ฟู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและสมาชิกระดับสูงของพรรค ที่มารอต้อนรับที่ทำเนียบประธานาธิบดี ก่อนที่ทั้งผู้นำสหรัฐฯ และเลขาฯ พรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม จะเข้าประชุมเพื่อหารือร่วมกัน ทั้งคู่ได้หารือข้อตกลงต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอุตสาหกรรมเหมืองแร่

“โจ ไบเดน” จะไม่จัดส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ให้ยูเครน

"โจ ไบเดน" ไม่ช่วยยูเครนลัดขั้นตอนเป็นสมาชิกนาโต

เนื่องจากสหรัฐฯ มองว่าเวียดนามเป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และแร่ ที่มีศักยภาพสูง สามารถส่งเสริมยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐฯ ในการสร้างความมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิป ตลอดจนลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนเพียงชาติเดียว

เซมิคอนดักเตอร์ที่สหรัฐฯ ตกลงซื้อ-ขายกับเวียดนามคืออะไร เซมิคอนดักเตอร์เป็นสารกึ่งตัวนำ หรือวัสดุที่มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้า ใช้ทำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ชิปหรือแผงวงจรต่างๆ โดยอุปกรณ์ชนิดนี้ได้ชื่อว่าเป็นหัวใจแห่งเทคโนโลยี

ที่ผ่านมาสหรัฐฯ พึ่งพาและนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวันเป็นหลัก ซึ่ง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company ของไต้หวันเป็นบริษัทที่ผลิตและส่งออกชิปขนาดเล็กกว่า 10 นาโนเมตรมากที่สุดในโลก

โดยคิดเป็นร้อยละ 90 ของชิปที่วางขายอยู่ในตลาดทั่วโลก

อย่างไรก็ดี ด้วยความขัดแย้งเหนือช่องแคบไต้หวัน ระหว่างจีน สหรัฐฯ และไต้หวัน ได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับอุตสาหกรรมผลิตเซมิคอนดักเตอร์และชิปในไต้หวัน และอาจก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และชิป จนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ รวมถึงหลายประเทศทั่วโลก

นี่ทำให้สหรัฐฯ ต้องกระจายความเสี่ยงเพื่อป้องกันภาวะขาดแคลนชิป เวียดนามจึงกลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นรองจากไต้หวัน

 "โจ ไบเดน" เยือนเวียดนาม ลงนามข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์

ตอนนี้เวียดกำลังทะยานขึ้นมาท้าชิงไต้หวันในฐานะผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลก และค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกชิปรายใหญ่ให้สหรัฐฯ

ข้อมูลล่าสุดที่ทางการเวียดนามเปิดเผยออกมาชี้ให้เห็นว่า ตอนนี้เวียดนามเป็นผู้ส่งออกชิปรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯ รองจากมาเลเซียและไต้หวัน เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกชิปไปยังสหรัฐฯ เฉพาะในปีนี้ อยู่ที่ 562 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 19,670 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องข้อตกลงธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์แล้ว มีอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นหลังการเยือนเวียดนามของผู้นำสหรัฐฯ คือ การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติไปอยู่ในระดับสูงสุด

เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐฯ และเลขาฯ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้ลงนามร่วมกันในเอกสารข้อตกลง

“การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน” หลังจากการลงนาม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามระบุว่า การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนเวียดนามและสร้างสันติภาพและความมั่นคงในสถานการณ์ใหม่ ขณะที่ประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐฯ กล่าวว่า เวียดนามคือประเทศที่มีอำนาจและเป็นประเทศที่สำคัญในภูมิภาคนี้

หลังจากการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ร่วมกับเลขาฯ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไบเดนได้เดินทางไปเข้าพบกับฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และประเด็นหลักของการหารือคือ การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในเวียดนามหลังจากนั้นประธานาธิบดีไบเดน ได้เดินทางไปพบกับหวอ วัน เถือง ประธานาธิบดีของเวียดนามเพื่อหารือร่วมกัน และเดินทางกลับสหรัฐฯ เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา

การลงนามยกระดับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม หลังจากผ่านสงครามเวียดนามมานานถึง 50 ปี

นักวิเคราะห์บางรายเรียกการยกระดับความสัมพันธ์ดังกล่าวว่า เป็นการเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร

ตอนนี้มีเพียงแค่ 4 ประเทศในโลกเท่านั้นที่เป็นประเทศที่มีความร่วมมือกับเวียดนามในระดับ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน” คือ จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้

อย่างไรก็ดี แม้ว่าทั้งสหรัฐฯ และเวียดนามจะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ แต่เวียดนามก็พยายามแสดงออกอย่างระมัดระวัง ไม่เลือกข้างชัดเจน เพื่อรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ลี ฮง เฮียบ นักวิจัยอาวุโสประจำโครงการเวียดนามศึกษาแห่งสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัคของสิงคโปร์ ให้ความเห็นเรื่องการยกระดับความสัมพันธ์เวียดนาม-สหรัฐฯ ไว้ว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเยือนรอบนี้สะท้อนให้เห็นว่า ทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์มาบรรจบกันมากขึ้น โดยยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้างตลอดจนความพยายามในการคานอำนาจจีนในภูมิภาค สอดคล้องกับผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของเวียดนาม เช่น ความมั่นคงในพื้นที่ทะเลจีนใต้คำพูดจาก เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด 2024

นอกจากนี้ การยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ สอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศเวียดนามที่ต้องการกระจายความหลากหลายและสร้างความสัมพันธ์แบบพหุพาคีกับหลายชาติ โดยเฉพาะมหาอำนาจต่างๆ ของโลก เช่น จีน รัสเซีย หรือ อินเดีย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปี 2023 เป็นช่วงเวลาทองของเวียดนามในการยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 10 ปีของการเป็น “หุ้นส่วนที่ครอบคลุม” นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาจากความสัมพันธ์และการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ

การยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่จุดสูงสุดในเวลานี้เป็นสิ่งที่ดีกว่าการยกระดับความสัมพันธ์ในวันที่การแข่งขันของสองมหาอำนาจดุเดือด เนื่องจากเวียดนามอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายคว่ำบาตรของจีน

อย่างไรก็ดี ลี ฮง เฮียบ ชี้ว่าการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ ในรอบนี้อาจไม่สร้างความขุ่นเคืองให้กับจีน เนื่องจากผลประโยชน์ที่เวียดนามจะได้เป็นไปในเชิงเศรษฐกิจมากกว่าการทหาร

ความเห็นดังกล่าวของนักวิชาการรายนี้ สอดคล้องกับคำแถลงของผู้นำสหรัฐฯ ที่มีขึ้นหลังการหารือร่วมกับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีไบเดนระบุว่า การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและเวียดนามไปสู่จุดสูงสุดทางการทูต ไม่ใช่การพยายามโดดเดี่ยวหรือปิดล้อมจีน

สหรัฐฯ ต้องการรากฐานที่มั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐฯ ก็ย้ำว่าสหรัฐฯ อยากเห็นจีนประสบความสำเร็จด้านเศรษฐกิจ แต่ความสำเร็จนั้นต้องตั้งอยู่บนกฎและกติกาที่มีอยู่

ขณะที่วันนี้ เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาแถลงตอบโต้การเยือนเวียดนามของประธานาธิบดีไบเดนโดยระบุว่า ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือรอบด้านระหว่างจีน-เวียดนาม ถือเป็นภารกิจสำคัญของการต่างประเทศเวียดนาม พร้อมกล่าวว่าสหรัฐฯ ไม่ควรมุ่งเป้าไปยังบุคคลที่สามหากจะดำเนินนโยบายการทูตกับชาติในเอเชีย

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าผู้นำสหรัฐฯ พยายามย้ำว่าการยกระดับความสัมพันธ์กับเวียดนามในครั้งนี้ ไม่ใช่การปิดล้อมจีนและจะไม่ใช่สงครามเย็นรอบใหม่ในเอเชีย อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์อีกกลุ่มหนึ่งได้ให้ความเห็นไว้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ อาจมีประเด็นเรื่องทะเลจีนใต้เข้ามาเกี่ยวพันด้วย

ผู้เชี่ยวชาญบางรายระบุว่า หากพิจารณาในทางยุทธศาสตร์ เวียดนามเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการรับมือกับการขยายอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นทะเลที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลขณะเดียวกัน การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามยังสะท้อนให้เห็นความปรารถนาของเวียดนามในการใช้สหรัฐฯ ถ่วงดุลอำนาจของจีน หลังจากเวียดนาม ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ บรูไน และมาเลเซีย มีปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้กับจีน แม้เวียดนามจะไม่พูดถึงประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่นักวิเคราะห์ระบุว่าเวียดนามก็กังวลและไม่พอใจกับภัยคุกคามจากจีนในทะเลจีนใต้

หนึ่งในกรณีที่สะท้อนความไม่พอใจของเวียดนามที่มีต่อจีนเกี่ยวกับกรณีพิพาททะเลจีนใต้คือ การสั่งห้ามฉายบาร์บี้ ภาพยนตร์แนวแฟนตาซีคอมเมดีที่ได้รับความนิยมทั่วโลกเนื่องจากในภาพยนตร์มีฉากที่มีแผนที่เส้นประ 9 เส้นของจีน ที่แสดงให้เห็นถึงการอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงพื้นที่ทางทะเลที่เวียดนามมีผลประโยชน์อยู่ด้วย

นอกจากนี้ ทางการเวียดนามเคยออกมาประกาศสอบสวนเหตุการณ์ที่ผู้จัดคอนเสิร์ตของวงแบล็คพิงค์ในกรุงฮานอย แสดงภาพแผนที่ที่มีเส้นประ 9 เส้นของจีนบนหน้าเว็บไซต์ทางการของคอนเสิร์ต

ครม.เศรษฐา แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา วันแรก 11 ก.ย. 2566

ประกาศแจ้งจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด "เข้าบัญชี 18 ก.ย.2566" แน่นอน

ส่องสีใหม่ "iPhone 15" และ "iPhone 15 Pro" ก่อนเปิดตัวกันยายนนี้

ประกาศรายชื่อวอลเลย์บอลหญิงไทย "นุศรา" นำทัพชุดลุยศึกคัดโอลิมปิก 2024